“เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ.2014 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ได้ร่วมลงมติปฏิเสธการลงประชามติของไครเมียในการแยกดินแดนไปจากยูเครน เพื่อผนวกดินแดนเข้าร่วมกับรัสเซีย
การลงมติดังกล่าว มีชาติส่วนใหญ่สนับสนุนในบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศยูเครน 100 ชาติ นี่คือการตอบสนองที่ชัดเจน เพราะความพยายามของรัสเซียในการยึดครองไครเมียนั้นได้รับการคัดค้านและต่อต้านจากประชาคมระหว่างประเทศ” นายอันดรีย์ เบชตา (H.E. Mr. Andrii Beshta) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐยูเครนประจำประเทศไทย กลับมาสนทนากับมติชนสุดสัปดาห์อีกครั้ง
กรณีคาบสมุทรไครเมีย
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่มีโอกาสมาเล่าความเป็นจริง และในครั้งนี้เป็นการนำเสนอบทความโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศยูเครน นายพาฟโล คลิมคิน (H.E Mr. Pavlo Klimkin) ซึ่งมีการเผยแพร่ไปทั่วโลก ทั้งนี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบและเข้าใจถึงเรื่องราวความเป็นมาที่แท้จริง”
“เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นับเป็นเวลาที่รัสเซียเข้ายึดครองไครเมียจากยูเครนได้ 5 ปีแล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปได้เข้าผนวกดินแดนของรัฐเอกราช เป็นผลทำให้ระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยในยุโรปและทั่วโลกเกิดความสั่นคลอน เนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่อบันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์ (Budapest Memorandum) อันเป็นบันทึกทางการทูตที่ลงนามโดยยูเครน รัสเซีย สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร”
“โดยยูเครนได้ตกลงไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับคำมั่นสัญญาจากรัสเซีย สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ด้วยการเคารพอำนาจอธิปไตยในความเป็นรัฐเอกราชของตน แต่การที่รัสเซียเข้ายึดครองไครเมียนั้นส่งผลให้เกิดคำถามมากมายถึงข้อตกลงการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (non-proliferation Treaty : NPT)”
“การที่รัสเซียผนวกสาธารณรัฐไครเมียนั้น ได้ถูกประณามอย่างเป็นเอกฉันท์จากนานาชาติ ถึงแม้รัสเซียจะมั่นใจว่าการรุกรานครั้งนี้จะถูกมองข้ามเหมือนดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเดียวกันในจอร์เจียปี ค.ศ.2008 เป็นที่ทราบกันดีว่า รัสเซียได้ฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ และไครเมียเป็นเขตปกครองตนเองของประเทศยูเครน แต่ก็มีหลายคนที่ยังหลงเชื่อในตำนานของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่ว่า ไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียมาโดยตลอด”
ที่มา : คุยกับทูต ‘อันดรีย์ เบชตา’ เล่าความจริงเรื่องคาบสมุทรไครเมีย : การหักล้างตำนานของหมีขาว