- ‘ทะเลอะซอฟ’ กลายเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งล่าสุดระหว่างรัสเซียกับยูเครน หลังทหารรัสเซียได้ใช้กำลังยึดเรือของยูเครน 3 ลำ โดยอ้างว่าเรือเหล่านี้ล่วงล้ำน่านน้ำอาณาเขตของรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย ทั้งที่ตามข้อตกลงในปี 2003 ยูเครนสามารถเดินเรือผ่านช่องแคบเคิร์ชสู่ทะเลอะซอฟได้อย่างเสรี
- สองชาติมีปัญหาระหองระแหงสั่งสมมาช้านาน โดยเฉพาะหลังจากที่ยูเครนเกิดสงครามกลางเมืองกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทางภาคตะวันออก โดยรัสเซียถูกกล่าวหามาตลอดว่าให้การหนุนหลังกลุ่มกบฏ ทั้งการส่งทหารเข้าไปช่วยกบฏ และการลำเลียงยุทโธปกรณ์ไปติดอาวุธให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดน
- ขณะที่ประเด็นยึดเรือล่าสุดอาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามประจันหน้าเต็มรูปแบบ หลังยูเครนได้ประกาศกฎอัยการศึกเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างเต็มที่
หลายวันที่ผ่านมา ประเด็นร้อนฉ่าที่ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษหนีไม่พ้นข่าวที่รัสเซียยึดเรือของกองทัพยูเครน ซึ่งสร้างความตึงเครียดระลอกใหม่ในบริเวณคาบสมุทรไครเมีย ขณะที่นานาชาติหวั่นเกรงว่าเหตุการณ์กระทบกระทั่งครั้งนี้อาจนำไปสู่สงครามได้ทุกเมื่อ
เกิดอะไรขึ้นที่ช่องแคบเคิร์ช
การเผชิญหน้ากันระหว่างทหารรักษาชายแดนรัสเซียกับทหารเรือของยูเครนเกิดขึ้นในบริเวณช่องแคบเคิร์ช ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นช่องทางเดินเรือที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลอะซอฟ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เรือติดอาวุธ Berdyansk และ Nikopol และเรือพ่วง Yana Kapu ของกองทัพเรือยูเครนแล่นออกจากท่าเทียบเรือในเมืองโอเดสซา (ทะเลดำ) เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองมาริอูโปลในทะเลอะซอฟ แต่ถูกรัสเซียเข้าสกัดโดยการพุ่งชนใส่เรือพ่วงบริเวณช่องแคบเคิร์ชใกล้กับคาบสมุทรไครเมีย นอกจากนี้รัสเซียยังส่งเครื่องบินขับไล่ 2 ลำ และเฮลิคอปเตอร์อีก 2 ลำเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว และกล่าวหาว่าเรือของยูเครนล่วงล้ำน่านน้ำอาณาเขตของรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย จากนั้นรัสเซียได้ส่งทหารขึ้นตรวจค้นเรือและยึดเรือทั้ง 3 ลำ พร้อมควบคุมตัวลูกเรือไว้ 24 คน ฝั่งยูเครนระบุว่า เรือของพวกเขาถูกยิงโจมตี และเหตุปะทะครั้งนี้ทำให้ลูกเรือของยูเครนได้รับบาดเจ็บ 6 คน แต่รัสเซียยืนยันว่า มีผู้บาดเจ็บเพียง 3 คน
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (27 พ.ย.) ศาลไครเมียได้สั่งจำคุกลูกเรือของยูเครน 5 คน เป็นเวลา 2 เดือน จากความผิดฐานมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนในวันนี้ (28 พ.ย.) จะมีลูกเรืออีก 12 คน ขึ้นให้การในชั้นศาล หลังรัสเซียกล่าวหาว่าบุกรุกน่านน้ำอาณาเขตของรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย
ทำไมทะเลอะซอฟจึงกลายเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งครั้งใหม่
อาจกล่าวได้ว่า นับจากปัญหาไครเมียที่รัสเซียผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐในปี 2014 ทะเลอะซอฟก็ได้กลายเป็นกรณีพิพาทครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านคู่ปรปักษ์ อันที่จริงแล้วช่องแคบเคิร์ชและทะเลอะซอฟเป็นน่านน้ำที่รัสเซียและยูเครนกำหนดเป็นอาณาเขตร่วมกันภายใต้ข้อตกลงที่สองชาติทำเมื่อปี 2003 โดยเรือพาณิชย์ของสองประเทศมีสิทธิ์เต็มที่ในการเดินเรืออย่างเสรีในฟากฝั่งของตน ส่วนเรือทหารสามารถแล่นผ่านได้โดยแจ้งให้อีกฝ่ายทราบ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีการพล็อตเส้นประแบ่งเขตกันอย่างชัดเจน แต่หลังจากที่รัสเซียผนวกดินแดนไครเมียมาจากยูเครนในปี 2014 สถานการณ์ก็พลิกผันไป โดยเฉพาะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัสเซียได้ตรวจตราเรือทุกลำที่แล่นออกหรือมุ่งหน้าสู่ท่าเรือยูเครน ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ยูเครนเป็นอย่างมาก เพราะการกระทำนี้ถือเป็นการควบคุมช่องแคบนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางความเคลือบแคลงจากนานาชาติว่า รัสเซียอาจมีแผนการใหญ่แอบแฝงอยู่
ยูเครน กล่าวหาว่า รัสเซียพยายามปิดล้อมยูเครนทางเศรษฐกิจโดยพฤตินัย ด้วยการขัดขวางไม่ให้เรือเข้าถึงท่าเรือสำคัญในทะเลอะซอฟ โดยเฉพาะเมืองท่ามาริอูโปล ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมส่งออกเหล็กกล้าและเมล็ดพืช และฮับอุตสาหกรรมนำเข้าถ่านหินของประเทศ นอกจากนี้การปิดเส้นทางเดินเรือยังเป็นการดัดช่องทางลำเลียงยุทธปัจจัยของยูเครน หากมีการทำสงครามกับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนทางภาคตะวันออกของประเทศ ข้อมูลจากยูเครนระบุว่า ผลจากการควบคุมเส้นทางเดินเรือทำให้มูลค่าการค้าของยูเครนตกฮวบลงถึง 30% ขณะที่ยอดส่งออกจากมาริอูโปลหดตัวลง 6% เช่นเดียวกับยอดนำเข้าที่ร่วงลงเกือบ 9% ในปีนี้ รัสเซียยังพยายามเชื่อมดินแดนไครเมียกับแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียด้วยระบบขนส่งทางบก โดยก่อนหน้านี้รัสเซียเพิ่งเปิดใช้สะพานยาว 19 กิโลเมตรที่เชื่อมต่อสองดินแดนเข้าด้วยกันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สะพานแห่งนี้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ และรัสเซียก็ใช้เป็นข้ออ้างในการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงการเพิ่มเรือคอยลาดตระเวนทั้งในเขตช่องแคบเคิร์ชและทะเลอะซอฟ แน่นอนว่าเรือสินค้าของยูเครนก็ได้รับผลกระทบจากสะพานนี้ด้วย เพราะโครงสร้างของสะพานเป็นอุปสรรคต่อการลอดผ่านของเรือบางชนิด
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความขัดแย้งไครเมียร์ : จากไครเมีย MH17