“ไครเมีย” เปลี่ยนไป

ใครที่กำลังคลิกหาข้อมูลการท่องเที่ยวในไครเมีย อย่าแปลกใจที่ทุกเว็บไซต์ต่างขึ้นคำเตือนและคำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางไปยังแหลมแห่งนี้

ชาวไครเมียเพิ่งลงประชามติขอแยกตัวจากยูเครนเพื่อไปรวมกับรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม และก่อนที่มันจะกลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน คาบสมุทรแห่งทะเลดำเคยเป็นอัญมณีล้ำค่าที่ไครเมียซ่อนไว้ ในช่วงของสหภาพโซเวียต บรรยากาศและสภาพแวดล้อมของไครเมียที่คล้ายๆ ประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้มันกลายเป็นสถานที่พักผ่อนวันหยุดในฝันของเหล่าเชื้อพระวงศ์รัสเซียรวมถึงคนงานทั่วๆ ไป

หลังจากที่ไครเมียประกาศเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองภายใต้เขตการปกครองของยูเครน ด้วยทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลดำ ต้นไม้เขียวชอุ่มและเนินเขาเป็นลูกคลื่นทำให้มันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย ยูเครนรวมถึงชาวตะวันตกที่กำลังมองหาชายหาดที่เป็นแหล่งพักผ่อนอันเงียบสงบ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เคยจัดอันดับให้ไครเมียเป็นหนึ่งในทริปที่ดีที่สุดแห่งปี 2013

ในจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 6 ล้านคนที่เดินทางมาเยือนในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียและยูเครนมากถึงร้อยละ 95

โดยปกติ ช่วงไฮซีซั่นจะเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม แต่สำหรับปีนี้ รีสอร์ทริมทะเลดำหลายแห่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสวรรค์ปลายทางของนักท่องเที่ยวกลับไร้วี่แววนักท่องเที่ยว

ภาพที่น่ากลัวของทหารติดอาวุธและเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยังคงดำเนินอยู่ในภูมิภาคนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวรัสเซียและยูเครนหันไปเที่ยวที่อื่น ซึ่งอาจส่งผลให้กลายเป็นหายนะสำหรับเศรษฐกิจท้องถิ่น

“ผู้คนให้ความสนใจติดตามข่าวสารและจะกลับไปเที่ยวที่นั่นเมื่อแน่ใจว่าเขาจะมีวันหยุดพักผ่อนที่สงบ มีนักท่องเที่ยวเพียง 3 คนที่ซื้อแพ็คเกจวันหยุดจากเราไปแหลมไครเมียในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบกับเวลาเดียวกันในปีที่แล้วที่มีคนจองถึง 300 คน” เซอร์เก โรแมชกิน ประธานบริษัทท่องเที่ยว Delfin ในกรุงมอสโก กล่าว

การท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไครเมีย กระทรวงการท่องเที่ยวไครเมียบอกว่า เมื่อปีที่แล้วธุรกิจท้องถิ่นมีรายได้จากนักท่องเที่ยวประมาณ 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่สื่อรัสเซียประมาณการว่าตัวเลขน่าจะสูงเกือบ 5 เท่าของจำนวนที่เปิดเผยออกมา

“ทุกคนต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าของโรงแรม แต่ยังรวมถึงบริษัทขนส่ง ร้านอาหาร แพทย์และบริษัทประกันภัยต่างก็รายได้หดหายกันหมด” อเล็กซานเดอร์ โนวิคอฟสกี้ ประธานสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวยูเครนหรือ Altu กล่าว

นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียส่วนใหญ่จะเดินทางไปไครเมียโดยรถไฟหรือรถยนต์ แต่ในปีนี้นักท่องเที่ยวหลายคนหลีกเลี่ยงการเดินทางเพราะพาสปอร์ตถูกขโมยโดยเหล่ายูเครนชาตินิยมบนรถไฟรวมถึงมีความไม่แน่นอนในเรื่องของวีซ่า

“ผมจะกลับไปที่ไครเมียเมื่อทุกอย่างสงบ สถานการณ์ความไม่สงบนี้ทำให้ง่ายในการตัดสินใจไปเที่ยวที่อื่นบ้าง” ทาเตียน่า เมอร์ซีน่า ทนายความคนหนึ่งกล่าว

กระนั้นก็ตาม ยังมีชาวรัสเซียบางคนที่ไม่สนใจความวุ่นวายและยังคงมุ่งมั่นจะเดินทางไปเยือนคาบสมุทรแห่งทะเลดำ

“ผมใช้วันหยุดพักผ่อนในเซวาสโตโพล (เมืองชายทะเลของไครเมีย) มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และในปีนี้ผมก็จะไปอีก” นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียคนหนึ่งเขียนไว้ในกระทู้ในอินเทอร์เน็ต

รัสเซียเองก็กำลังมองหาวิธีที่จะเยียวยาความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของไครเมีย วลาดิเมียร์ เมดินสกี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมพูดถึงความจำเป็นที่ต้อง “เปลี่ยนทิศทาง” ของการไหลบ่าของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียจากรีสอร์ทยอดนิยมในตุรกีและอียิปต์ให้หันมายังแหลมไครเมียเพื่อช่วยสนับสนุนดินแดนน้องใหม่ล่าสุดของรัสเซีย ซึ่งในทางปฏิบัติ มันหมายถึงโอกาสที่หน่วยงานของรัฐจะส่งพนักงานของพวกเขาไปเที่ยวฟรีหรือให้เงินอุดหนุนในการเดินทางมาพักผ่อนที่ไครเมียเพื่อฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิมสมัยสหภาพโซเวียต

แต่สำหรับชาวยูเครนแล้ว พวกเขาเลือกที่จะอยู่ห่างจากไครเมีย

“เราไม่ได้รับการบุ๊กกิ้งจากนักท่องเที่ยวรายใหม่เลย ส่วนคนที่เคยจองทัวร์ไว้ก็ยกเลิก” ยูเลีย โอเลนิก โฆษกสมาคมตัวแทนการท่องเที่ยวยูเครนกล่าว

“มันจบแล้วสำหรับแหลมไครเมีย (ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยว) ตอนนี้มันกลายเป็นอาณาเขตที่ถูกครอบครองไปแล้ว” ยูเลียกล่าว

“ไครเมีย” เปลี่ยนไป

ข่าวสารเกี่ยวกับไครเมีย