ไครเมียฉลองครบรอบ 5 ปี “การกลับคืนสู่รัสเซีย”

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เยือนไครเมียเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี การที่ภูมิภาคแห่งนี้ “กลับคืนสู่รัสเซีย” เมื่อปี 2557

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ลงพื้นที่ในภูมิภาคไครเมีย เมื่อวันจันทร์ เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลอง 5 ปี การที่ไครเมีย “กลับคืนสู่รัสเซีย” จากการลงประชามติของประชาชนในพื้นที่ เมื่อเดือนมี.ค. 2557 ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากซึ่งโบกธงชาติรัสเซีย พร้อมทั้งร้องตะโกนชื่อปูตินและรัสเซียตลอดงาน ซึ่งปูตินใช้โอกาสนี้เปิดโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่งที่เมืองเซวาสโตโพล  เพื่อประกาศการยุติพึ่งพิงการใช้กระแสไฟฟ้าจากยูเครนอย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลเคียฟลดระดับกระทั่งกลายเป็นการหยุดการจ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาให้แก่ไครเมีย เมื่อปี 2558 แต่หลังจากนั้นรัฐบาลมอสโกมอบความช่วยเหลือด้านระบบสาธารณูปโภคแก่ไครเมียมาตลอด

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เปิดโรงไฟฟ้า 1 ใน 2 แห่งที่เมืองเซวาสโตโพล

ทั้งนี้ การเยือนไครเมียของปูตินเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่แผ่นดินใหญ่รัสเซียเตรียมจัดงานเฉลิมฉลองประจำปีทุกวันที่ 18 มี.ค. นับตั้งแต่การผนวกพื้นที่แห่งนี้ โดยถือให้เป็น “วันแห่งการรวมไครเมียกลับคืนสู่รัสเซีย” โดยวันดังกล่าวจะถือเป็นวันหยุดราชการในไครเมียด้วย เพื่อ “แก้ไขความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์” เมื่อครั้งนายนิกิตา ครุสชอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต ยกสถานะของไครเมียให้อยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน เมื่อปี 2497
ในอีกด้านหนึ่ง องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) ออกแถลงการณ์ประณามดารจัดงานครั้งนี้อย่างหนัก และย้ำว่านาโตไม่มีทางยอมรับไครเมียเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย แต่เป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของยูเครนเท่านั้น  ขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรป ( อีซี ) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลมอสโกปล่อยตัวลูกเรือชาวยูเครนทั้งหมด ซึ่งถูกจับกุมตั้งแต่เดือนพ.ย. ปีที่แล้ว จากความตึงเครียดบริเวณช่องแคบในทะเลอาซอฟ

 

อย่างไรก็ตาม นายดมิทรี โปลีอันสกี อัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) กล่าวถึงการเรียกร้องของอีซี ว่าผลการสอบสวนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายของรัฐบาลมอสโกจะเป็นตัวบ่งชี้ “ระดับความผิด” ของทหารเรือกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นฝ่ายละเมิดอธิปไตยทางทะเลของรัสเซีย และมีพฤติการณ์คุกคามเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพรมแดนของรัฐบาลมอสโกก่อน