รัฐสภายูเครนลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอของประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชงโก ให้บังคับใช้กฎอัยการศึกเป็นเวลา 30 วันในบางพื้นที่ของประเทศ หลังจากที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 พ.ย.) รัสเซียเข้าปะทะและยึดกองเรือของยูเครนบริเวณช่องแคบเคียร์ช ติดกับคาบสมุทรไครเมีย ซึ่งเป็นช่องทางเดินเรือเพียงทางเดียวที่ยูเครนจะเข้าถึงเมืองท่าในทะเลอาซอฟได้
การประกาศใช้กฎอัยการศึกนี้มีขึ้น หลังจากที่ผู้นำยูเครนเห็นว่ารัสเซียมีท่าทีคุกคามข่มขู่และเป็นภัยต่อความมั่นคงของยูเครนมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งสำหรับประธานาธิบดีโปโรเชงโกแล้ว กรณีที่รัสเซียจะบุกโจมตีและรุกรานดินแดนยูเครนในอนาคตอันใกล้ ไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
กฎอัยการศึกนี้จะประกาศใช้ใน 10 ภูมิภาคของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชายแดนติดต่อกับรัสเซีย หรือพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฎที่มีกองกำลังรัสเซียประจำการอยู่ รวมทั้งบริเวณแนวชายฝั่งทะเลดำและทะเลอาซอฟ โดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ไปจนถึงวันที่ 27 ธ.ค.
ภายใต้กฎอัยการศึก พลเมืองยูเครนจะต้องอยู่ในความสงบ ไม่สามารถชุมนุมหรือก่อการประท้วงต่าง ๆ รัฐบาลยังสามารถเกณฑ์พลเมืองเข้าเป็นทหารหรือช่วยทำการสู้รบได้ตลอดเวลา ซึ่งผู้นำยูเครนมองว่ามีความจำเป็นต่อสถานการณ์ตึงเครียดในขณะนี้ โดยกองทัพยูเครนก็กำลังพยายามยกระดับการเฝ้าระวังเหตุและเตรียมพร้อมด้านการสู้รบให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักการเมืองในรัฐสภายูเครนบางส่วนวิตกว่า ประธานาธิบดีโปโรเชงโกอาจฉวยโอกาสขยายเวลาการใช้กฎอัยการศึกให้ยาวนานออกไปในภายหลัง ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำหนดจะมีขึ้นในปลายเดือนมีนาคมปีหน้า แต่นายโปโรเชงโกย้ำว่า เขาจะไม่ใช้กฎอัยการศึกเพื่อยืดเวลาของตัวเองให้อยู่ในอำนาจได้ยาวนานต่อไป เขาเพียงแค่ต้องการจะกุมอำนาจที่แข็งแกร่งไว้ในมือชั่วคราวเพื่อต่อกรกับรัสเซียเท่านั้น
การเผชิญหน้าทางทะเลครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 4 ปี
เหตุปะทะทางทะเลระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เพิ่งเกิดขึ้น ถือว่าเป็นเหตุขัดแย้งที่รุนแรงและเปิดเผยที่สุดระหว่างสองประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งยิ่งยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาคที่สืบเนื่องมาจากเหตุรัสเซียผนวกดินแดนไครเมียในปี 2014 และการที่กองกำลังรัสเซียสนับสนุนกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในยูเครนตะวันออก ให้ยิ่งน่าวิตกกังวลขึ้นไปอีก
เมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ยูเครนอ้างว่าได้ส่งเรือปืนหุ้มเกราะของกองทัพเรือ 2 ลำ พร้อมกับเรือลากจูงอีก 1 ลำ ออกเดินทางจากเมืองโอเดสซา เพื่อไปยังเมืองท่ามาริวปอลในทะเลอาซอฟ แต่เรือของกองทัพรัสเซียได้เข้ามาขัดขวางและใช้เรือลำหนึ่งพุ่งเข้าชนเรือลากจูงของยูเครน
ด้านรัสเซียกล่าวหาว่ายูเครนล่วงล้ำน่านน้ำที่เป็นเขตแดนของตน มีการนำเรือบรรทุกน้ำมันของรัสเซียมาจอดขวางช่องแคบเคียร์ชซึ่งเป็นทางเข้าทะเลอาซอฟ บริเวณใต้สะพานเชื่อมแดนรัสเซีย-ไครเมีย ในขณะที่กองเรือยูเครนกำลังเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว ทั้งยังมีการระดมกำลังเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ให้มาบินอยู่เหนือจุดดังกล่าวด้วย
การที่รัสเซียปิดกั้นทางเข้าทะเลอาซอฟ ทำให้บรรยากาศของการเผชิญหน้าตึงเครียดขึ้นทุกขณะ จนในที่สุดรัสเซียเปิดฉากยิงใส่กองเรือของยูเครนในช่วงเย็นของวันนั้น และเข้ายึดเรือของกองทัพยูเครนทั้งสามลำ ลูกเรือชาวยูเครน 6 คนได้รับบาดเจ็บ